ภาพซิลูเอต (Silhouette) พูดง่ายๆก็คือ
ภาพเงาดำ
นั่นเอง
โดยลักษณะของภาพแบบนี้ก็คือเราจะเห็นวัตถุในภาพเป็นเพียงรูปทรงสีดำ
ไม่มีรายละเอียดอะไรในรูปทรงนั้นๆ ภาพแบบนี้เราสามารถถ่ายทำได้ง่ายๆ
แม้กระทั่งคนที่ถ่ายภาพไม่เป็นก็ทำได้บ่อยๆ
(เผลอๆจะบ่อยกว่าพวกที่ถ่ายรูปเป็นด้วยซ้ำ)
วิธีการก็คือ ให้เรา
ถ่ายภาพย้อนแสงนั่นเอง
ไม่ต้องฟิลแฟลชนะครับ เดี๋ยวจะไม่ได้ภาพเงาดำ
ถ้าหากเราต้องการความดำแบบชัวร์ๆ ก็สามารถทำได้โดยใช้การวัดแสงเฉพาะจุด
แล้ววัดแสงที่ฉากหลัง
กล้องจะถ่ายรูปที่ความเร็วชัตเตอร์ที่สูงจนแสงสำหรับตัวแบบของเราไม่พอ
จึงดำไงครับ
แล้วทำไมเราต้องถ่ายภาพซิลูเอตล่ะ?
เหตุผลนั้นมีหลายประการครับ เช่น
เราต้องการนำเสนอรูปทรงที่น่าสนใจของวัตถุต่างๆ
เราก็สามารถนำเสนอได้ในรูปแบบซิลูเอต
เพื่อให้จุดสนใจอยู่ที่รูปทรงอย่างเดียว
ผู้ชมไม่ต้องวอกแวกไปกับรายละเอียดของตัวแบบ
หรือ ตอนถ่ายภาพนั้นไม่มีอุปกรณ์เสริมที่เพียงพอ เช่น ไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ตก ไม่มีฟิลเตอร์ GND ก็ถ่ายเป็นรูปซิลูเอตมาก็สวยได้
หรือ
ตอนถ่ายรูปแฟนย้อนแสงแล้วลืมเปิดแฟลชหรือวัดแสงผิดที่
เวลาแฟนถามว่าทำไมถ่ายมาดำ เราก็บอกว่าพอดีเห็นทรวดทรงตัวเองเซ็กซี่ดี
ก็เลยนำเสนอรูปทรงน่ะ ฮ่าๆๆๆ เอาล่ะครับ มาลองชมรูปตัวอย่าง
เผื่อไว้ใช้เป็นไอเดียกันนะครับ
การถ่ายภาพบุคคลด้วยแสงธรรมชาติ
การถ่ายภาพบุคคลให้สวยนั้น
เพื่อนๆอาจจะนึกถึงการถ่ายรูปบุคคลในสตูดิโอที่ต้องใช้อุปกรณ์และผู้คน
เกี่ยวข้องมากมาย ไม่ว่าจะเป็นช่างแต่งหน้า-ทำผม, ผู้ช่วยช่างภาพ
และสตูดิโอขนาดใหญ่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ราคาแพงๆ
แต่จริงๆแล้วเราสามารถถ่ายภาพบุคคลให้สวยได้
โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์อันหรูหราและแสนแพงเหล่านั้นเลย
การถ่ายภาพบุคคลให้ดูดีแบบมืออาชีพนั้นสามารถทำได้ใช้
วิธีการถ่ายทำง่ายๆ โดยการใช้แสงธรรมชาติที่ส่องผ่านหน้าต่างของห้องนั่นเอง
ส่วนเงาเข้มที่เกิดขึ้นบนใบหน้านั้นเราสามารถทำให้จางลงได้โดยการสะท้อนแสง
โดยใช้แผ่นโฟมสีขาว เมื่อคุณใช้แสงจากหน้าต่างเป็นแสงหลัก
และคุณใช้แผ่นโฟมสีขาวสะท้อนแสงช่วยเปิดเงา
ภาพที่ได้จะมีความสมดุลย์ของแสงเงาและดูเป็นมืออาชีพมากๆ
ทดลองหลายๆแบบทั้งมุมสะท้อนของแผ่นโฟมและระยะห่างจากแบบ
และสังเกตภาพที่เกิดจากระยะระหว่างกล้องและแบบที่ต่างๆกันด้วย
ลองทดลองในการวางตำแหน่งของตัวแบบ
สังเกตรูปแบบของแสงที่ตกกระทบใบหน้าซึ่งจะทำให้ตัวแบบดูแก่ขึ้นหรือเด็กลง
ซึ่งจะเกิดจากมุมตกกระทบและความเข้มของแสง
โดยเริ่มแรกลองให้แบบหันหลังให้กับหน้าต่างและสะท้อนแสงกลับไปที่ใบหน้า
จะทำให้เราได้แสงนุ่มๆที่ทำให้ใบหน้าดูดีขึ้นมา จากนั้นลองให้แบบหันประมาณ
45 องศากับแสงและสังเกตผลที่ได้ จากนั้นทำการปรับแต่งแสงตามสถานการณ์
มีกฏเก่าๆข้อหนึ่งที่คุณควรจะลืมไปซะ
นั่นคือการให้แสงส่องมาทางไหล่ซ้ายของแบบและตกกระทบใบหน้า
ซึ่งการให้แสงแบบนี้จะทำให้เราได้ภาพที่สวยแต่ล้าสมัยแล้ว
แบบที่สองลองถ่ายรูปในแบบที่แสงอาทิตย์ส่องมาจากด้านหลังของแบบ
หากเราวัดแสงจากฉากหลังของแบบภาพที่ได้จะมีฉากหลังที่แสงถูกต้องสวยงาม
แต่ตัวแบบจะเป็นเงาดำ ซึ่งภาพแบบนี้เราเรียกว่า “ภาพซิลูเอ็ด (Silhouette)”
และหากเราวัดแสงให้ถูกต้องที่ใบหน้าของแบบ
จะได้ภาพที่ใบหน้าของแบบถูกต้องแต่ฉากหลังจะสว่างขาวไม่มีรายละเอียดใดๆหลง
เหลือ
วิธีการแก้ปัญหานี้ง่ายๆ คือ การตบแฟลช (Fill Flash)
ซึ่งผมได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้แล้ว
หรือคุณสามารถใช้แผ่นสะท้อนแสงกลับไปที่ใบหน้าของแบบ
หากคุณไม่แน่ใจว่าแสงจะเพียงพอหรือไม่
ให้ลองถ่ายภาพแล้วเช็คฮีสโตแกรมดูว่าคุณได้ภาพที่ดีไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่ง
สว่างเกินไป (Highlight)
และพึงระวังในการถ่ายรูปย้อนแสงคืออาจจะเกิดแฟลร์ขึ้นในภาพได้
(แต่บางครั้งแฟลร์ก็ทำให้ภาพดูดีขึ้นมาได้)
เทคนิคการถ่ายรูปบุคคล
เมื่อคุณเริ่มคุ้นเคยกับกล้องถ่ายรูปของคุณ ผมเชื่อว่าหลายๆท่านจะพบว่าตัวเองเริ่ม
ถ่ายรูปบุคคล (Portrait Photography)
การถ่ายรูปบุคคลนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงการถ่ายรูปติดบัตรหรือรูปในใบ
ประกาศจับเท่านั้นนะครับ แต่มันยังสามารถเป็นรูปถ่ายโคลสอัพดวงตาของสาวสวย
หรือแม้กระทั่งรูปของพ่อค้าเนื้อหลังเขียงของเขาก็ได้
รูปบุคคลนั้นสามารถเป็นได้ในหลายรูปทรงและขนาด
ซึ่งคุณควรจะลองถ่ายรูปบุคคลหลายๆแบบ
สิ่งที่สำคัญที่คุณควรจะพึงระลึกถึงเสมอก็คือ
มีคนที่สำคัญสองคนในการถ่ายรูปบุคคล คือ
ตัวช่างภาพและนาย/นางแบบนั่นเอง คุณจะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับแบบเพื่อให้ได้รูปบุคคลที่ดีนั่นเอง
โดยทั่วๆไปการถ่ายรูปบุคคลนั้นมีอยู่ 3 ประเภทคือ
- ภาพโคลสอัพใบหน้าถึงครึ่งตัว
- ภาพบุคคลเต็มตัว
- ภาพบุคคลกับสถานที่ต่างๆ
โดยมากแล้วจะเป็นภาพที่ใบหน้าของแบบนั้นเต็มเฟรม
โดยมีฉากหลังเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
วัตถุประสงค์ก็เพื่อแสดงถึงความสวยงามของใบหน้าหรือส่วนของใบหน้าของแบบนั่น
เอง โดยการใช้แสงนั้นสำคัญมากสำหรับภาพประเภทนี้ ตัวอย่างเช่น แสงที่มีทิศทางแน่นอน (Directional Light) จะดึงรายละเอียดและรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าออกมา เหมาะสำหรับการถ่ายภาพเพื่อการศึกษา ส่วนแสงนุ่ม (Soft Light) จะให้ภาพที่ดูสวยงามมากกว่า เพราะจะช่วยซ่อนริ้วรอยและตำหนิอื่นๆบนใบหน้าได้ดีกว่า
เมื่อคุณถ่ายภาพโคลสอัพบุคคล
ให้พึงระวังเรื่องการบิดเบือนที่เกิดจากเลนส์ที่อาจจะทำให้ภาพดูไม่ดีได้
เช่น จมูกดูป่องๆ เป็นต้น เพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนี้ ให้ใช้ระยะโฟกัสยาวๆ
ซึ่งระยะโฟกัส 85-135 มม. ถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพบุคคล
ภาพบุคคลเต็มตัว
หากคุณต้องการถ่ายภาพบุคคลเต็มตัว
ให้ใส่ใจในเรื่องของฉากหลังมากเป็นพิเศษ
โดยฉากหลังที่น่าสนใจนั้นสามารถเพิ่มความน่าสนใจให้กับภาพได้
แต่ควรหลีกเลี่ยงฉากหลังที่รกรุงรัง
เพราะฉากหลังที่รกรุงรังจะดึงความสนใจไปจากตัวแบบ
ซึ่งวิธีหนึ่งที่จะช่วยกำจัดฉากหลังที่รกรุงรัง คือ
การใช้ขนาดรูรับแสงที่กว้างเพื่อเบลอฉากหลัง และจดจำไว้เสมอว่า
หากในภาพที่คุณถ่ายมานั้นมีฉากหลังมากกว่าที่คุณต้องการ
คุณสามารถที่จะครอปภาพเพื่อลดฉากหลังลงได้
และการถ่ายภาพในแนวตั้งนั้นเหมาะสมกับการถ่ายรูปบุคคลเต็มตัว
ภาพบุคคลกับสถานที่
สำหรับภาพแบบนี้ ตัวแบบนั้นเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของภาพ
ซึ่งจะมีประโยชน์มากในกรณีที่คุณต้องการเพิ่มเนื้อหาให้กับบุคคลในภาพ
ฉากหลังนั้นมีส่วนสำคัญมากสำหรับภาพแบบนี้เพราะจะมีพื้นที่มากที่สุดในภาพ
ซึ่งด้วยเหตุผลนี้คุณควรจะใช้รูรับแสงแคบๆเพื่อให้ฉากหลังมีความคมชัด
ช่างภาพหลายท่านใช้เลนส์มุมกว้างสำหรับการถ่ายภาพแนวนี้
เพราะเลนส์แบบนี้ทำให้คุณเข้าใกล้แบบได้มากโดยที่ยังสามารถบันทึกภาพฉากหลัง
ได้ในพื้นที่มากในเฟรม
การจัดองค์ประกอบแบบกฏสามส่วนนั้นมีประโยชน์มากสำหรับภาพแนวนี้ครับ
การถ่ายรูป ติดบัตร
จากที่มีเพื่อนๆสอบถามเข้ามาเกี่ยวกับการ “
ถ่ายรูปติดบัตร”
ว่าจัดแสงอย่างไร ผมก็พยายามค้นหาทางอินเตอร์เน็ท
ส่วนใหญ่จะพบแต่ว่าวางตำแหน่งไฟอย่างไร ใช้ไฟกี่ดวง ใช้ฉากสีอะไร
แต่ไม่เห็นมีใครบอกว่าอัตราส่วนของกำลังไฟเป็นอย่างไร
จนผมไปเจอจากเว็บไซต์ของฝรั่งจึงได้นำมาแบ่งปันกันครับ
วัตถุประสงค์ของการถ่ายรูปติดบัตร
วัตถุประสงค์หลักของการถ่ายรูปติดบัตร
ก็คือการแสดงว่าบุคคลในรูปนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร
มีตำหนิที่เป็นจุดสังเกตได้ตรงไหน
เพื่อใช้ในการยืนยันตัวบุคคลว่าเป็นตัวจริง ดังนั้นรูปติดบัตรที่ดีนั้น
แสงจะต้องเคลียร์ไม่มีเงามาปิดบังจุดตำหนิต่างๆบนใบหน้า
การจะมาเล่นแสงเงาหรือการรีทัชลบรอยแผลเป็น ฝ้า กระ
นั้นเก็บเอาไว้สำหรับถ่ายรูปอย่างอื่นดีกว่าครับ
(ส่วนการลบสิวและทำผิวเนียนนั้นพอทำได้นะครับ) และฉากหลังจะต้องไม่รก เรียบ
ส่วนจะสีอะไรนั้นแล้วแต่หน่วยงานที่เราจะใช้ (ควรจะตรวจสอบเสียก่อนนะครับ
ว่ามีข้อบังคับเรื่องสีของฉากหลังหรือไม่
ผมเคยเจอกับตัวตอนไปทำใบอนุญาตทำงานที่มาเลย์เซีย
รูปที่ถ่ายไปฉากหลังสีน้ำเงิน แต่เค้าเอาฉากหลังสีขาว
ต้องวิ่งไปถ่ายใหม่กันวุ่นวาย และเสียเวลา)
อุปกรณ์สำหรับการถ่ายรูปติดบัตร (ที่ผมใช้)
1. ไฟแฟลช 3 ดวงพร้อมขาตั้ง (ในที่นี้ผมใช้แฟลชนอก 3 ตัว)
หากใช้ไฟแฟลชสตูดิโอ ก็เริ่มต้นด้วยแฟลชกำลังไฟ 80 วัตต์เป็นอย่างน้อย 2
ตัวสำหรับส่องแบบ และ 30 วัตต์สำหรับส่องฉาก
2. ร่มแสงทะลุ 2 อัน (ใครมีร่มสะท้อนก็ใช้ได้นะครับ)
3. กล้องถ่ายรูป (ผมใช้ Canon 5D MKII)
4. Wireless Flash Trigger & Receiver
5. Flash Meter (ผมใช้เพราะจะได้จัดแสงง่ายและแม่นยำ) อุปกรณ์ชิ้นนี้ใครไม่มี ก็ใช้วิธีลองถ่ายแล้วปรับกำลังเอาไฟก็ได้ครับ
การจัดแสงสำหรับการถ่ายรูปติดบัตร
อันนี้ผมเอามาจากเว็บของฝรั่ง วิธีการก็ไม่ยากอะไร
เพียงแค่วางตำแหน่งไฟตามภาพ โดยไฟส่องตัวแบบ 2 ดวง วางเฉียงประมาณ 45
องศาในแนวระนาบ แต่จะต่างจากการถ่ายภาพแนวเล่นแสงเงาคือ
ตำแหน่งดวงไฟอยู่ในระดับเดียวกับสายตาของแบบ
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดเงาขึ้นนั่นเอง
ส่วนไฟส่องฉากนั้นก็เพื่อให้ฉากสว่างขึ้น
และที่สำคัญยังทำหน้าที่ลบเงาที่เกิดจากไฟหลักทั้งสองดวงอีกด้วย
(ผมเคยลองถ่ายด้วยไฟหลักสองดวงมาแล้ว มันเกิดเงาบนฉากขึ้นจริงๆ คราวนี้พอมี
3 ดวงก็สบายครับ) ไฟทุกดวงผมสั่งให้ทำงานโดยใช้ Wireless Flash Trigger
& Receiver
คราวนี้มาดูเรื่องสำคัญคือ
กำลังไฟของไฟหลักทั้งสองดวง
เพื่อไม่ให้เกิดเงาดังนั้นกำลังไฟของไฟหลักจะต้องเท่ากันครับ
การกำหนดกำลังไฟผมก็ใช้ Flash meter วัดจนได้เท่ากัน หากไม่มี Flash Meter
ก็ต้องลองถ่ายภาพดู แล้วปรับกำลังไฟจนไม่เกิดเงาบนหน้าแบบ
ส่วนกำลังไฟส่องฉากนั้นเราก็ลองถ่ายภาพดู
ถ้าเห็นว่าฉากสว่างและไม่มีเงาของแบบเกิดขึ้นบนฉากก็เป็นอันใช้ได้ครับ
ในภาพตัวอย่างในบทความนี้ผมตั้งกำลังไฟหลักจนได้ที่ f/8 , 1/60s ISO 100
ทั้งสองดวงครับ
การถ่ายรูปติดบัตร
ขั้นตอนสำคัญที่สุดก็คือการถ่ายรูป
เพราะหากว่าแค่จัดแสงแต่ไม่ถ่ายรูปก็ไม่มีรูปสิครับ
วิธีการสำหรับผมนั้นไม่ยาก โดยผมใช้กล้องในระบบแมนนวล
ตั้งค่ากล้องตามค่าที่อ่านได้จาก Flash Meter
ส่วนหากใครไม่มีก็ใช้วิธีตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์เอาไว้ อาจจะ 1/60 วินาที
หรือ 1/125 วินาที หรือ 1/250 วินาที ก็ตามแต่
แล้วลองตั้งค่ารูรับแสงเริ่มที่ f/8 ลองถ่ายภาพดู หากภาพที่ได้สว่างไป
ก็ลดขนาดรูรับแสงลด หรือ หากมืดไปก็เพิ่มขนาดรูรับแสง
แต่ผมแนะนำว่าการถ่ายภาพแบบนี้ควรจะใช้ f/8 เป็นอย่างน้อย
เพื่อให้ได้ภาพที่มีความชัดลึก จะได้เห็นรายละเอียดบนใบหน้าได้ชัดเจน
เพราะฉะนั้นหากลองถ่ายแล้ว f/8 มืดไป ต้องเพิ่มกำลังไฟครับ